การแสดงนาฏศิลป์ไทยพื้นเมือง
การแสดงภาคกลาง
เป็นศิลปะการร่ายรำและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้านภาคกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและพื่อความบันเทิงสนุกสนาน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากเทศการฤดูเก็บเก็บเกี่ยว
ได้แก่
- รำสีนวล - ระบำดาวดึงส์
- กลองยาวหรือเถิดเทิง - ระบำย่องหงิด
ลักษณะการแสดง
ก่อนเล่นมีการทำพิธีไหว้ครู มีดอกไม้ธูปเทียน เหล้าขาว บุหรี่และเงินค่ายกครู 12 บาท การไหว้ครูใช้การขับเสภา เมื่อไหว้ครูแล้วจะโห่ขึ้น 3 ลา แล้วเริ่มแสดง โดยนักดนตรีประกอบเริ่มบรรเลงผู้ร่ายรำก็จะเดินและร่ายรำไปตามจังหวะกลอง มีท่าร่ายรำทั้งหมด 33 ท่า ท่าที่หวาดเสียวและตื่นเต้นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่าที่ 30 - 31 คือท่าที่มีการต่อกลองขึ้นไป 3 ใบ ให้ผู้แสดงคนหนึ่งขึ้นไปยืนบนกลองใบที่ 3 แล้วควงกลอง และคาบกลอง ซึ่งผู้แสดงต้องใช้ความสามารพิเศษเฉพาะตัว ผู้ตีกลองยาวบางพวกก็ตีหกหัวกัน แลบลิ้นปลิ้นตา กลอกหน้ายักคิ้ว ยักคอไปพลาง และถ้าผู้ตีคนใดตีได้จนถึงกับถองหน้ากลองด้วยศอก โขกด้วยคาง กระทุ้งด้วยเข่า โหม่งด้วยเข่า โหม่งด้วยหัว เล่นเอาผู้ตีคลุกฝุ่นคลุกดินขะมุกขะมอมไปทั้งตัวสุดแต่จะให้เสียงกลองยาวดังขึ้นได้เป็นสนุกมาก และนิยมกันว่าผู้ตีกลองยาวเก่งมากผู้เล่นก็ภูมิใจ นอกจากนั้นก็มีคนรำแต่งตัวต่าง ๆ สุดแต่สมัครใจ คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไปร่วมรำด้วยก็ได้เพราะเป็นการเล่นอย่างชาวบ้าน ใครจะสมัครเข้าร่วมเล่นร่วมรำด้วยก็ได้ บางคนก็แต่งตัวพิสดาร ผัดหน้าทาตัวด้วยแป้งด้วยเขม่าดินหม้อ หน้าตาเนื้อตัวดำด่าง สุดแต่จะให้คนดูรู้สึกทึ่งและขบขัน ออกมารำเข้ากับจังหวะเทิงบ้อง แต่ที่แต่งตัวงาม ๆ เล่นและรำกันเรียบ ๆ น่าดูก็มี เช่นที่ปรับปรุงขึ้นเล่นโดยศิลปินของกรมศิลปากร และมีผู้นำแบบอย่างไปเล่นแพร่หลายอยู่ในสมัยนี้
เพราะฉะนั้นการเล่น ย่อมเป็นส่วนของวัฒนธรรมที่แสดงออกมา จะเป็นวัฒนธรรมอยู่ในระดับใดก็แล้วแต่สถานที่และโอกาสเหมาะกับถิ่นหนึ่งแต่ไม่เหมาะกับอีกถิ่นหนึ่งก็ได้ ถ้าปรับให้มีลักษณะเหมือนกันตลอดทุกถิ่น ก็ไม่เป็นความเจริญในทางวัฒนธรรม ความเจริญของวัฒนธรรมอยู่ที่แปลก ๆ ต่าง ๆ กัน แต่ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในส่วนรวม และรู้จักดัดแปลงแก้ไขให้เหมาหะกับความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นตามกาลสมัย แต่ไม่ทำลายลักษณะอันเป็นเอกเทศของแต่ละถิ่นให้สูญไป เปรียบเหมือนเป็นคนไทยด้วยกัน
โอกาสที่แสดง
ประเพณีเล่น “เถิดเทิง”หรือ “เทิงบ้องกลองยาว” ในเมืองไทยนั้น มักนิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรือในงานแห่งแหน ซึ่งต้องเดินเคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่กฐิน เป็นต้น เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนเห็นว่ามีลานกว้างหรือเป็นที่เหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นรำกันเสียพักหนึ่ง แล้วก็เคลื่อนขบวนต่อไปใหม่แล้วก็มาหยุดตั้งวงเล่นและรำกันอีก การเล่นเถิดเทิงของกรมศิลปากรปรับปรุงใหม่ จะแต่งตัวแบบไทย ๆ แต่ยังเป็นประเพณีดั้งเดิม คือยังใช้โพกหัวด้วยผ้าแพรบาง ๆ ตามแบบพม่าอยู่ นอกจากนี้ ก็เพิ่มผู้รำฝ่ายหญิงแต่งตัวงดงามแบบหญิงไทย กำหนดแบบแผนลีลาท่ารำ โดยกำหนดให้มีกลองรำ กลองยืน เป็นต้น
กลองรำ หมายถึง ผู้ที่จะแสดงลวดลายในการตีบทพลิกแพลงต่าง ๆ เช่น ถองหน้า กลองด้วยศอก กระทุ้งด้วยเข่า เป็นต้น
กลองยืน หมายถึง ผู้ตีกลองยืนจังหวะให้การแสดงดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ในขณะที่กลองรำวาดลวดลายรำต้อนนางรำอยู่ไปมา
การเล่นเถิดเทิงแบบนี้มีมาตรฐานตายตัว ผู้เล่นทั้งหมดต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อนถึงจะแสดงได้เป็นระเบียบและน่าดู คนดูจะได้เห็นความงามและได้รับความสนุกสนานแม้จะไม่ได้ร่วมวงเล่นด้วยก็ตาม
การแต่งกาย
ในสมัยปัจจุบันกรมศิลปากรได้ปรับปรุงการแต่งกายและกำหนดไว้เป็นแบบฉบับ คือ
1. ชาย นุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง สวมเสื้อคอกลม แขนสั้น เหนือศอก มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว
2. หญิง นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกคอปิด ผ่าอกหน้า ห่มสไบทับเสื้อ สวมสร้อยตัวคาดเข็มขัดทับนอกเสื้อ สร้อยคอ และต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้ด้านซ้าย
ดนตรีที่ใช้
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นก็มีกลองยาว ( เล่นกันหลาย ๆ ลูกก็ได้) เครื่องประกอบจังหวะ มี ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง มีประมาณ 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่ออีก 2 คน
สถานที่แสดง
แสดงในบริเวณพื้นลานกว้าง ๆ หรือบนเวที
จำนวนผู้แสดง
จำนวนผู้แสดงจะมีเป็นชุดราว 10 คน เป็นอย่างน้อยมีผู้บรรเลงดนตรี 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่ออีก 2 คน
- ระบำทำนาหรือระบำชาวนา - ระบำเทพบันเทิง
- ระบำเกี่ยวข้าว - ระบำกฤษดาภินิหาร
- เพลงพิษฐาน - ระบำม้า
- เพลงฉ่อย - ระบำดอกบัว
- เพลงเหย่อย - ระบำกริชสุหรานากง
- เพลงพวงมาลัย - ระบำนกยูง
- เพลงเรือ - ระบำมฤคระเริง
- เพลงปรบไก่ - ระบำกาสร
- รำแม่ศรี - ระบำพรหมมาสตร์
- เพลงอีแซว - ระบำกินรีร่อน
- ลำตัด - ระบำอัปสราสำอาง
- ลิเก - ระบำพม่านิมิต
- รำวงมาตรฐาน - ระบำจีนไทยไมตรี
- รำต้นวรเชษฐ์ - ระบำชุมนุมเผ่าไทย
รำสีนวล
เป็นการรำประเภทการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวไทยในภาคกลาง
เนื่องจากการรำสีนวลเป็นศิลปะที่สวยงามทั้งท่ารำและเพลงขับร้อง
จึงพัฒนามาเป็นชุดสำหรับจัดแสดงในงานทั่วๆไป
และนับเป็นการแสดงนาฏศิลป์อีกชุดหนึ่งที่นิยมแพร่หลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ลักษณะท่ารำและคำร้องของรำสีนวลมีความหมายถึงอิริยาบถที่นุ่มนวลอ่อนช้อยของกุลสตรี
(ที่มา: http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/16337-027945/)
ระบำเถิดเทิง
ประวัติความเป็นมา
การเล่นเถิดเทิง มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นของพม่านิยมเล่นกันมาก่อน เมื่อครั้งพม่ามาทำสงครามกับไทย ในสมัยกรุงธนบุรี หรือสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็เล่นสนุกสนานด้วยการเล่น ต่าง ๆ ซึ่งทหารพม่าบางพวกก็เล่น “กลองยาว” พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง ยังมีเพลงดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งดนตรีไทยนำมาใช้บรรเลง มีทำนองเป็นเพลงพม่า เรียกกันมาแต่เดิมว่า เพลงพม่ากลองยาว ต่อมาได้มีผู้ปรับเป็นเพลงระบำ กำหนดให้ผู้รำแต่งตัวใส่เสื้อนุ่งโสร่งตา ศีรษะโพกผ้าสีชมพู (หรือสีอื่น ๆ บ้างตามแต่จะให้สีสลับกัน เห็นสวยอย่างแบบระบำ)มือถือขวานออกมาร่ายรำเข้ากับจังหวะเพลงที่กล่าวนี้ จึงเรียกเพลงนี้กันอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงพม่ารำขวาน
เมื่อชาวไทยเราเห็นเป็นการละเล่นที่สนุกสนานและเล่นได้ง่าย ก็เลยนิยมเล่นกันแพร่หลายไปแทบทุกหัวบ้านหัวเมือง สืบมาจนตราบทุกวันนี้ กลองยาวที่เล่นกันในวงหนึ่ง ๆ มีเล่นกันหลายลูกมีสายสะพายเฉวียงป่าของผู้ตี ลักษณะรูปร่างของกลองยาวขึงหนังด้านเดียวอีกข้างหนึ่งเป็นหางยาว บานปลายเหมือนกับกลองยาวของชาวเชียงใหม่ แต่กลองยาวของชาวเชียงใหม่เป็นกลองยาวจริง ๆ ยาวถึงประมาณ 2 วา ส่วนกลองยาวอย่างที่เล่นกันนี้ ยาวเพียงประมาณ 3 ศอกเท่านั้น ซึ่งสั้นกว่าของเชียงใหม่มาก ทางภาคอีสานเรียกกลองยาวชนิดนี้ว่า กลองหาง
กลองยาวแบบนนี้ของพม่าเรียกว่า โอสิ มีลักษณะคล้ายคลึงกับของชาวไทยอาหมในแคว้นอัสสัม เว้นแต่ของชาวไทยอาหมรูปร่างคล้ายตะโพน คือ หัวท้ายเล็ก กลางป่องใบเล็กกว่าตะโพน ขึ้นหนังทั้งสองข้าง ผูกสายสะพายตีได้ ตามที่เห็นวิธีเล่นทั้งกลองยาวของพม่าและกลองของชาวไทยอาหม ดูวิธีการเล่นเป็นแบบเดียวกัน อาจเลียนแบบการเล่นไปจากกันก็ได้
เมื่อรัฐบาลไทยมอบให้คณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรไปแสดงเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ณ นครย่างกุ้งและมัณฑเลย์ ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน พ.ศ.2509 ทางรัฐบาลพม่าได้จัดนักโบราณคดีพม่าผู้หนึ่งเป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์สถานและโบราณสถานเรื่องกลองยาวได้กล่าวว่า พม่าได้กลองยาวมาจากไทยใหญ่อีกต่อหนึ่ง
การละเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น คงเรียกตามเสียงกลองยาว กล่าวคือ มีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ หูคนไทยได้ยินเป็นว่า “เถิด-เทิง-บ้อง-เทิง-บ้อง” ก็เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป เพื่อให้ต่างกับการเล่นอย่างอื่น
การเล่นเถิดเทิง มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นของพม่านิยมเล่นกันมาก่อน เมื่อครั้งพม่ามาทำสงครามกับไทย ในสมัยกรุงธนบุรี หรือสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็เล่นสนุกสนานด้วยการเล่น ต่าง ๆ ซึ่งทหารพม่าบางพวกก็เล่น “กลองยาว” พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง ยังมีเพลงดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งดนตรีไทยนำมาใช้บรรเลง มีทำนองเป็นเพลงพม่า เรียกกันมาแต่เดิมว่า เพลงพม่ากลองยาว ต่อมาได้มีผู้ปรับเป็นเพลงระบำ กำหนดให้ผู้รำแต่งตัวใส่เสื้อนุ่งโสร่งตา ศีรษะโพกผ้าสีชมพู (หรือสีอื่น ๆ บ้างตามแต่จะให้สีสลับกัน เห็นสวยอย่างแบบระบำ)มือถือขวานออกมาร่ายรำเข้ากับจังหวะเพลงที่กล่าวนี้ จึงเรียกเพลงนี้กันอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงพม่ารำขวาน
เมื่อชาวไทยเราเห็นเป็นการละเล่นที่สนุกสนานและเล่นได้ง่าย ก็เลยนิยมเล่นกันแพร่หลายไปแทบทุกหัวบ้านหัวเมือง สืบมาจนตราบทุกวันนี้ กลองยาวที่เล่นกันในวงหนึ่ง ๆ มีเล่นกันหลายลูกมีสายสะพายเฉวียงป่าของผู้ตี ลักษณะรูปร่างของกลองยาวขึงหนังด้านเดียวอีกข้างหนึ่งเป็นหางยาว บานปลายเหมือนกับกลองยาวของชาวเชียงใหม่ แต่กลองยาวของชาวเชียงใหม่เป็นกลองยาวจริง ๆ ยาวถึงประมาณ 2 วา ส่วนกลองยาวอย่างที่เล่นกันนี้ ยาวเพียงประมาณ 3 ศอกเท่านั้น ซึ่งสั้นกว่าของเชียงใหม่มาก ทางภาคอีสานเรียกกลองยาวชนิดนี้ว่า กลองหาง
กลองยาวแบบนนี้ของพม่าเรียกว่า โอสิ มีลักษณะคล้ายคลึงกับของชาวไทยอาหมในแคว้นอัสสัม เว้นแต่ของชาวไทยอาหมรูปร่างคล้ายตะโพน คือ หัวท้ายเล็ก กลางป่องใบเล็กกว่าตะโพน ขึ้นหนังทั้งสองข้าง ผูกสายสะพายตีได้ ตามที่เห็นวิธีเล่นทั้งกลองยาวของพม่าและกลองของชาวไทยอาหม ดูวิธีการเล่นเป็นแบบเดียวกัน อาจเลียนแบบการเล่นไปจากกันก็ได้
เมื่อรัฐบาลไทยมอบให้คณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรไปแสดงเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ณ นครย่างกุ้งและมัณฑเลย์ ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน พ.ศ.2509 ทางรัฐบาลพม่าได้จัดนักโบราณคดีพม่าผู้หนึ่งเป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์สถานและโบราณสถานเรื่องกลองยาวได้กล่าวว่า พม่าได้กลองยาวมาจากไทยใหญ่อีกต่อหนึ่ง
การละเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น คงเรียกตามเสียงกลองยาว กล่าวคือ มีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ หูคนไทยได้ยินเป็นว่า “เถิด-เทิง-บ้อง-เทิง-บ้อง” ก็เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป เพื่อให้ต่างกับการเล่นอย่างอื่น
ลักษณะการแสดง
ก่อนเล่นมีการทำพิธีไหว้ครู มีดอกไม้ธูปเทียน เหล้าขาว บุหรี่และเงินค่ายกครู 12 บาท การไหว้ครูใช้การขับเสภา เมื่อไหว้ครูแล้วจะโห่ขึ้น 3 ลา แล้วเริ่มแสดง โดยนักดนตรีประกอบเริ่มบรรเลงผู้ร่ายรำก็จะเดินและร่ายรำไปตามจังหวะกลอง มีท่าร่ายรำทั้งหมด 33 ท่า ท่าที่หวาดเสียวและตื่นเต้นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่าที่ 30 - 31 คือท่าที่มีการต่อกลองขึ้นไป 3 ใบ ให้ผู้แสดงคนหนึ่งขึ้นไปยืนบนกลองใบที่ 3 แล้วควงกลอง และคาบกลอง ซึ่งผู้แสดงต้องใช้ความสามารพิเศษเฉพาะตัว ผู้ตีกลองยาวบางพวกก็ตีหกหัวกัน แลบลิ้นปลิ้นตา กลอกหน้ายักคิ้ว ยักคอไปพลาง และถ้าผู้ตีคนใดตีได้จนถึงกับถองหน้ากลองด้วยศอก โขกด้วยคาง กระทุ้งด้วยเข่า โหม่งด้วยเข่า โหม่งด้วยหัว เล่นเอาผู้ตีคลุกฝุ่นคลุกดินขะมุกขะมอมไปทั้งตัวสุดแต่จะให้เสียงกลองยาวดังขึ้นได้เป็นสนุกมาก และนิยมกันว่าผู้ตีกลองยาวเก่งมากผู้เล่นก็ภูมิใจ นอกจากนั้นก็มีคนรำแต่งตัวต่าง ๆ สุดแต่สมัครใจ คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไปร่วมรำด้วยก็ได้เพราะเป็นการเล่นอย่างชาวบ้าน ใครจะสมัครเข้าร่วมเล่นร่วมรำด้วยก็ได้ บางคนก็แต่งตัวพิสดาร ผัดหน้าทาตัวด้วยแป้งด้วยเขม่าดินหม้อ หน้าตาเนื้อตัวดำด่าง สุดแต่จะให้คนดูรู้สึกทึ่งและขบขัน ออกมารำเข้ากับจังหวะเทิงบ้อง แต่ที่แต่งตัวงาม ๆ เล่นและรำกันเรียบ ๆ น่าดูก็มี เช่นที่ปรับปรุงขึ้นเล่นโดยศิลปินของกรมศิลปากร และมีผู้นำแบบอย่างไปเล่นแพร่หลายอยู่ในสมัยนี้
เพราะฉะนั้นการเล่น ย่อมเป็นส่วนของวัฒนธรรมที่แสดงออกมา จะเป็นวัฒนธรรมอยู่ในระดับใดก็แล้วแต่สถานที่และโอกาสเหมาะกับถิ่นหนึ่งแต่ไม่เหมาะกับอีกถิ่นหนึ่งก็ได้ ถ้าปรับให้มีลักษณะเหมือนกันตลอดทุกถิ่น ก็ไม่เป็นความเจริญในทางวัฒนธรรม ความเจริญของวัฒนธรรมอยู่ที่แปลก ๆ ต่าง ๆ กัน แต่ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในส่วนรวม และรู้จักดัดแปลงแก้ไขให้เหมาหะกับความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นตามกาลสมัย แต่ไม่ทำลายลักษณะอันเป็นเอกเทศของแต่ละถิ่นให้สูญไป เปรียบเหมือนเป็นคนไทยด้วยกัน
โอกาสที่แสดง
ประเพณีเล่น “เถิดเทิง”หรือ “เทิงบ้องกลองยาว” ในเมืองไทยนั้น มักนิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรือในงานแห่งแหน ซึ่งต้องเดินเคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่กฐิน เป็นต้น เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนเห็นว่ามีลานกว้างหรือเป็นที่เหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นรำกันเสียพักหนึ่ง แล้วก็เคลื่อนขบวนต่อไปใหม่แล้วก็มาหยุดตั้งวงเล่นและรำกันอีก การเล่นเถิดเทิงของกรมศิลปากรปรับปรุงใหม่ จะแต่งตัวแบบไทย ๆ แต่ยังเป็นประเพณีดั้งเดิม คือยังใช้โพกหัวด้วยผ้าแพรบาง ๆ ตามแบบพม่าอยู่ นอกจากนี้ ก็เพิ่มผู้รำฝ่ายหญิงแต่งตัวงดงามแบบหญิงไทย กำหนดแบบแผนลีลาท่ารำ โดยกำหนดให้มีกลองรำ กลองยืน เป็นต้น
กลองรำ หมายถึง ผู้ที่จะแสดงลวดลายในการตีบทพลิกแพลงต่าง ๆ เช่น ถองหน้า กลองด้วยศอก กระทุ้งด้วยเข่า เป็นต้น
กลองยืน หมายถึง ผู้ตีกลองยืนจังหวะให้การแสดงดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ในขณะที่กลองรำวาดลวดลายรำต้อนนางรำอยู่ไปมา
การเล่นเถิดเทิงแบบนี้มีมาตรฐานตายตัว ผู้เล่นทั้งหมดต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อนถึงจะแสดงได้เป็นระเบียบและน่าดู คนดูจะได้เห็นความงามและได้รับความสนุกสนานแม้จะไม่ได้ร่วมวงเล่นด้วยก็ตาม
การแต่งกาย
ในสมัยปัจจุบันกรมศิลปากรได้ปรับปรุงการแต่งกายและกำหนดไว้เป็นแบบฉบับ คือ
1. ชาย นุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง สวมเสื้อคอกลม แขนสั้น เหนือศอก มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว
2. หญิง นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกคอปิด ผ่าอกหน้า ห่มสไบทับเสื้อ สวมสร้อยตัวคาดเข็มขัดทับนอกเสื้อ สร้อยคอ และต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้ด้านซ้าย
ดนตรีที่ใช้
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นก็มีกลองยาว ( เล่นกันหลาย ๆ ลูกก็ได้) เครื่องประกอบจังหวะ มี ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง มีประมาณ 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่ออีก 2 คน
สถานที่แสดง
แสดงในบริเวณพื้นลานกว้าง ๆ หรือบนเวที
จำนวนผู้แสดง
จำนวนผู้แสดงจะมีเป็นชุดราว 10 คน เป็นอย่างน้อยมีผู้บรรเลงดนตรี 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่ออีก 2 คน
(ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/392-00/)
ระบำชาวนา
ระบำชาวนา
เป็นระบำชุดหนึ่งที่กรมศิลปกรมอบให้นายมนตรี ตราโมท
ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แต่งทำนองเพลง และท่านผู้หญิงแผ้ว
สนิทวงศ์เสนี ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
ลีลาท่ารำและทำนองเพลงสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่
การประกอบอาชีพกสิกรรมของชาวนาผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ
โอกาสที่ใช้แสดง
- งานมงคลต่างๆ
- งานต้อนรับชาวต่างชาติ
-งานอีเว้นต์
โอกาสที่ใช้แสดง
- งานมงคลต่างๆ
- งานต้อนรับชาวต่างชาติ
-งานอีเว้นต์
(ที่มา : http://www.ichat.in.th/Ramthaishow/topic-readid33208-page1 )
รำแม่ศรี
รำแม่ศรี
แม่ศรีเป็นการเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมาแต่โบราณ
นิยมเล่นกันทั่วไปในภาคกลางและอีสานและมักจะเล่นในงานนักขัตฤกษ์ เช่น
วันขึ้นปีใหม่และตรุษสงกรานต์โดยมากเล่นกันในหมู่เด็กๆ
เพราะการเล่นแม่ศรีเป็นการเล่นทำนองเข้าทรง โดยผูเล่นที่เป็นตัวแม่ศรีจะต้องทำกิริยาเหมือนแม่ศรีมาเข้าทรงสั่นและร่าย
รำตามทำนองลูกคู่ร้อง การเล่นเช่นนี้เป็นไปในทางสนุกขบขัน
เพราะเป็นการที่ไม่น่าเชื่อถือในเรื่องผีเข้าทรงอย่างใด
โดยเฉพาะการเล่นแม่ศรีนี้ไม่ถือว่าเป็นการทรงเจ้า
ในหมู่ผู้เล่นเป็นหญิงล้วนๆ
จะเล่นซักกี่คนก็ได้ ทุกคนนั่งเป็นวงกลวมเลือกหญิงที่จัดว่าสวยที่สุดในหมู่คนหนึ่ง
สมมุติให้เป็นแม่ศรี และต้องแต่งตัวให้สวยกว่าคนอื่น
(ในโบราณใช้ห่มผ้าสีแดงสไบเฉียง)
แล้วตัวแม่ศรีนั่งลงตรงกลางวงจะเป็นม้าหรือยกแคร่ขึ้นสำหรับให้แม่ศรีนั่งก็ ได้
ตัวแม่ศรีนั่งพนมมือหลับตาในท่าสมาธิ นอกนั้นนั่งจุดธูปเทียนสำหรับบูชาเพื่อเชิญให้แม่ศรีมาเข้าทรง
ผู้สมมุติว่าเป็นแม่ศรี ผู้นั่งทั้งหมดร้องเพลงเชิญและร้องอยู่เรื่อยๆ
และในปัจจุบันมักนำการแสดงชุดนี้มาแสดงเป็นหมู่
เพื่อให้เกิดความสวยงามเข้าทำนองเพลงอันไพเราะ การแสดงชุดนี้ ครูจำเรียง
พุทธประดับ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงปี ๒๕๓๑ เป็นผู้ให้ท่ารำ
(ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rouenrarai&month=10-2009&date=22&group=6&gblog=13)
Vint Ceramic Art | TITNIA & TECHNOLOGY
ตอบลบExplore herzamanindir.com/ an all new “Vint febcasino.com Ceramic Art” project on ford escape titanium TITNIA & TECHNOLOGY. Our team of sculptors and artists wooricasinos.info have created new 1xbet 먹튀 and